ดูแลแบตเตอรี่ ให้ยืดอายุการใช้งานได้นาน และแก้ปัญหาแบตเบื้องต้น
แบตเตอรี่รถยนต์ อีกหนึ่งหัวใจสำคัญของระบบไฟฟ้ารถยนต์ หากคุณเคยมีข้อสงสัยเกี่ยวกับ หน้าที่ของแบตเตอรี่, การทำงานแบตเตอรี่ และการดูแลรักษาแบตเตอรี่ เราไม่ควรมองข้ามความสำคัญของแบตเตอรี่รถยนต์เป็นอันขาด เราควรดูแลรักษาแบตรถยนต์ของเราให้ดี เพราะหากเราไม่ดูแลรักษาแบตรถยนต์ จะส่งผลเสียหลายอย่างกับตัวรถ
หน้าที่ของ แบตเตอรี่รถยนต์
แบตเตอรี่รถยนต์หรือแหล่งเก็บไฟฟ้าสำรอง ทำหน้าที่คอยจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับ ไดสตาร์ท และ ระบบจุดระเบิด เพื่อให้เครื่องยนต์ทำงานและ หน้าที่ของแบตเตอรี่รถยนต์ ยังคอยจ่ายกระแสไฟฟ้าไปยังอุปกรณ์ต่างๆ ให้กับรถยนต์อีกด้วย สามารถดูเรื่องราวเพิ่มเติมของ
ระบบจุดระเบิด เพิ่มเติมได้นะครับ
การดูแลรักษาแบตรถยนต์อย่างถูกวิธี
แบตเตอรี่ของคุณก็จะอยู่ในสภาพพร้อมใช้และยืดอายุการใช้งานได้อีกนานเลยทีเดียว
- ทำความสะอาดสายไฟ ทั้งบวกลบ และแบตเตอรี่ด้วยน้ำอุ่น และเช็ดให้แห้งอยู่เสมอ
- ตรวจเช็คทำความสะอาดขั้วแบตเตอรี่ และทาด้วยวาสลิน เพื่อป้องกับคราบขี้เกลือ
- ตรวจเช็คน้ำกลั่นสม่ำเสมอ ไม่ปล่อยให้น้ำแห้ง
- ไม่เติมน้ำกลั่นให้เกินกว่าขีดสูงสุด และต่ำกว่าขีดต่ำสุด
- ตรวจวัดระดับกระแสไฟแบตเตอรี่อย่างสม่ำเสมอ
- ตรวจเช็คไดร์ชาร์จ เมื่อระบบไฟอ่อน
- ตรวจสอบความมั่นคงของการติดตั้ง
- ห้ามสูบบุหรี่ ขณะตรวจเช็คน้ำในแบตเตอรี่ เพราะอาจจะระเบิดได้
- ตาแมวของแบตเตอรี่แห้งใช้ดูกำลังไฟโดย (สีน้ำเงิน=ไฟดีอยู่ / สีส้มแดง=แบตเตอรี่มีปัญหาจะต้องชาร์ตไฟหรือเติมน้ำกลั่น / สีขาว=แบตเตอรี่เสียหรือเสื่อมคุณภาพ ต้องเปลี่ยนลูกใหม่)
เพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่บ่อยๆ เราควรหันมาดูแลรักษาแบตรถยนต์ เพื่อยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่และประหยัดค่าใช้จ่ายด้วย
อาการแบตเตอรี่รถยนต์เสื่อม
-สตาร์ทเครื่องยนต์ติดยากหรือไม่ติดโดยเฉพาะตอนเช้าๆ
-ระบบไฟหน้าหรือระบบไฟภายในห้องโดยสารไม่สว่างเหมือนเดิม
-กระจกไฟฟ้าไม่มีแรงขึ้นหรือไม่ขึ้นเลย
-แผ่นธาตุภายในแบตเตอรี่เกิดการเสื่อมและบวม
เปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกใหม่ทันที เพราะอาการเสื่อมของแบตเตอรี่คือไม่สามารถเก็บกระแสไฟฟ้าได้แล้ว เมื่อรถสตาร์ทไม่ติด ให้หาแบตเตอรี่ลูกที่ใหญ่กว่า หรือแอมป์ที่มากกว่า มาทำการจัมป์ และเมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ติดแล้ว ไม่ควรดับเครื่องยนต์อีก ควรรีบหาร้านแบตเตอรี่เปลี่ยนใหม่ทันที
การถอดแบตเตอรี่อย่างถูกวิธี และปลอดภัย
การเปลี่ยนแบตเตอรี่ เป็นสิ่งที่เราไม่ค่อยจะได้ทำบ่อยนักเพราะแบตเตอรี่ 1 ลูกหากมีการดูแลรักษาที่ดีจะสามารถใช้ได้นาน 2-3ปีเลยทีเดียว การเปลี่ยนแบตเตอรี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ยุ่งยากอะไร แต่ก็ต้องทำให้ถูกวิธีเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายแก่ระบบควบคุม และอุปกรณ์ต่างๆซึ่งปัจจุบันล้วนเป็นระบบคอมพิวเตอร์ทั้งสิ้น หากมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่เอง ควรทำตามขั้นตอนต่อไปนี้
- ต้องดับเครื่องก่อนเปลี่ยนแบตเตอรี่ทุกครั้ง หรือดึงกุญแจออกก่อน
- ในการถอดแบตเตอรี่ ต้องถอดขั้วลบ (-) ออกก่อนเสมอ เพื่อป้องกัน การลัดวงจร
- และเมื่อเปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกใหม่เข้าไป ต้องใส่ขั้วบวก (+) ก่อนเสมอ
ถ้าจะให้จำง่ายๆก็คือ “ถอดลบ (-) ใส่ (+)” เพื่อป้องกันการลัดวงจรและก่อนให้เกิดความเสียหายแก่รถของคุณ
การต่อพ่วงแบตเตอรี่ฉุกเฉิน
ในบางครั้งเราหรือเพื่อนร่วมทาง อาจจะเกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่าไฟหมด อาจจะเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น ลืมปิดไฟหน้า ลืมปิดอุปกรณ์ใช้ไฟฟ้า จนไฟหมด หรือแบตเตอรี่เสื่อม อาจจะต้องมีการต่อพ่วงแบตเตอรี่จากรถคันอื่น เราจึงจำเป็นจะต้องเรียนรู้การต่อพ่วงอย่างถูกวิธีดังนี้
- ดูประเภทรถที่เหมาะสมกัน ให้ดูจากขนาดแบตเตอรี่เป็นหลัก คือรถที่จะนำมาต่อพ่วงต้องมีขนาดเท่าใกล้เคียงกันหรือใหญ่กว่ารถที่ไฟหมด ยกตัวอย่างเช่น ถ้ารถที่ไฟหมดเป็นรถกระบะคันใหญ่ จะนำรถเก๋งขนาดเล็กมาต่อพวงไม่ได้เพราะจะสตาร์ทเครื่องไม่ติด เนื่องจากขนาดของไดสตาร์ทของรถกระบะมีขนาดใหญ่ต้องการกำลังไฟมากกว่านั้นเอง
- สายที่นำมาใช้ต่อพ่วงต้องมีขนาดใหญ่พอสมควร และไม่ยาวจนเกินไป จำนวน 2 เส้น เพื่อที่จะสามารถนำพาประจุไฟฟ้ามาใช้ในการสตาร์ทได้อย่างเต็มที่ เราจะสังเกตได้จากอุณหภูมิที่ตัวสายพ่วงขณะสตาร์ทจะร้อนมาก ถ้าใช้สายเส้นเล็กอาจจะทำให้สตาร์ทไม่ติดและสายไฟอาจละลายขาดได้เลยทีเดียว ควรมีสีที่ต่างกัน สีละเส้นพื่อป้องกันการต่อสลับขั้ว ที่นิยมใช้ คือ แดง(+) ดำ(-)
- นำรถมาจอดคู่กัน ให้ด้านที่มีแบตเตอรี่หันเข้าหากันเพื่อสะดวกในการต่อพ่วง และควรจอดในลักษณะที่ปลอดภัยด้วย
- การต่อขั้วบวก(+) สายพ่วงเส้นสีแดงเข้ากับขั้วบวกของแบตเตอรี่ลูกที่ไฟหมด อีกข้างหนึ่งของสายต่อ กับขั้วบวกของแบตเตอรี่ลูกที่มีไฟ
- การต่อขั้วลบ(-) สายพ่วงเส้นสีดำ เข้ากับขั้วลบ(-) ของแบตเตอรี่ลูกที่มีไฟ อีกข้างหนึ่งของสายพ่วงต่อเข้ากับโครงรถหรือเสื้อสูบเครื่องยนต์ของคันที่ไฟหมด เพื่อป้องกันการเกิดประกายไฟ
- เมื่อสตาร์ทรถยนต์คันที่ไฟหมด ติดแล้ว จึงค่อยถอดสายพ่วงแบตเตอรี่ทวนตามลำดับที่กล่าวมาข้างต้น
Tags :